ประเภทของระบบห้องเย็น

ระบบห้องเย็นแช่เย็นเฉียบพลัน (Air Blast Chill Room )

มีไว้สำหรับลดอุณภูมิเพื่อรอกระบวนการต่อไป หรือ เพื่อควบคุมเชื้อแบคทีเรีย หรือเพื่อให้เอ็นไซย่อยเนื้อในขบวนการผลิตเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่ห้องเย้นเฉียบพลัน จะมีข้อกำหนดของเวลาเข้ามาด้วย

อุณหภูมิใช้งานที่ต้องการส่วนใหญ่ ประมาณ : 2 ถึง -10 องศาเซียลเซียส หรือ ขึ้นอยู่กับสินค้า

ระบบห้องเย็นแช่แข็ง (Freezer Room)

มีไว้สำหรับ ลดอุณหภูมิ และเก็บสินค้า ในช่วงเวลานานๆ ที่อุณหภูมิต่ำกว่า “จุดเยือกแข็งของตัวสินค้านั้นๆ”เช่น ปลาแช่แข็ง เก็บรักษาที่อุณภูมิ -17.8  ถึง -23.3 องศาเซียลเซียส สามารถเก็บรักษาได้ระยะเวลา 8 ถึง 10 เดือน

อุณหภูมิใช้งานที่ต้องการส่วนใหญ่ ประมาณ : ตั้งแต่ -5 ถึง -25 องศาเซียลเซียส หรือ ขึ้นอยู่กับสินค้า

ระบบห้องเย็นเก็บรักษาสินค้า (Cold Storage Room )

มีไว้สำหรับ เก็บรักษาสินค้า ซึ่งสินค้าถูกผ่านการแช่แข็งมาแล้ว โดยที่สินค้าที่นำมาเก็บมีอุณภูมิ “ต่ำกว่า” หรือ “เท่ากับ” อุณหภูมิของห้องเก็บรักษาสินค้า ในการคำนวณโหลดทำความเย็นไม่จำเป็นต้องคิดค่าความร้อนจากตัวสินค้า

อุณภูมิใช้งานที่ต้องการส่วนใหญ่ ประมาณ : -25 องศาเซลเซียส หรือ ขึ้นอยู่กับสินค้า

ระบบห้องเย็นแช่แข็งลมเย็นจัด (Air Blast Freezer Room )

มีไว้สำหรับ Freez สินค้าให้เย็นเร็ว โดยไม่ทำให้เซลเกิดความเสียหาย การ Freez สินค้าแต่ละประเภท แตกต่างกัน เช่น การ Freez ผัก และผลไม้ จะต้อง Freez เร็ว ไม่ทำให้ผนังเซลเกิดแตก ซึ่งการเกิดจากน้ำภายในเซลเปลี่ยนสถานะจากของเหลว เป็นของแข็ง (เกล็ดน้ำแข็ง) หรือการ Freez อาหารทะเลส่งออก จะต้องพยายามไม่ทำให้เกิดเกล็ดน้ำแข็งภายในเนื้อเซล เพราะจะทำให้เซลช้ำ โดยทั่วๆไปห้องแช่แข็งลมเย็นจัด จะมีขนาดความจุของสินค้าได้ 2.5 Tons จะใช้เวลาในการ Freez ประมาณ 4-5 ชม. โดยข้อกำหนดจะต้องดึงอุณภูมิได้ไม่เกิน 6 ชม.

อุณภูมิใช้งานที่ต้องการส่วนใหญ่ ประมาณ : -35 องศาเซีลเซียส หรือขึ้นอยู่กับสินค้า

ระบบห้องเย็นพักสินค้า  ( Anti Room )

มีไว้สำหรับลดอุณหภูมิของอากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิสูง ไหลเข้าห้องแช่แข็งลมเย็นจัด (Air Blast Freezer Room )

หรือ ห้องเก็บที่มีอุณหภูมิต่ำๆ ห้องนี้บางครั้ง ก็มีไว้สำหรับพักสินค้า หรือ กระจายสินค้าบ้างในตัวเอง อุณหภูมิจะอยู่ประมาณ   อุณภูมิใช้งานที่ต้องการส่วนใหญ่ ประมาณ : -5 ถึง +10 องศาเซลเซียส หรือ ขึ้นอยู่กับชนิดของการทำงาน

สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับห้องเย็นได้ที่  http://www.harn.co.th/unit-coolers-ทำความเย็น-ห้องเย็น/

 

 

บทสรุปของความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัด (calibration)

บทสรุปจากการสอบเทียบ(calibration)เมื่อนำมาพินิจพิจารณา จะทำให้สามารถระบุได้ว่าเครื่องมือวัดควรจะใช้ต่อไปหรือจำเป็นต้องปรับแต่งผลสรุปจากการสอบเทียบ ทำให้ แน่นอนได้ว่าเครื่องวัดที่ใช้ในการวิเคราะห์ยังคงปฏิบัติราชการได้อย่างแม่นยำพร้อมกับยึดมั่นได้ ผลลัพธ์การสอบเทียบหลายๆ ครั้ง ยังแสดงให้เห็นคุณภาพทางด้านความมั่นคง ( Stability ) ของวัสดุวัด

ขณะใดที่ต้องสอบเทียบ

มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่าเครื่องมือวัดใดที่ต้องลงมือสอบเทียบ พร้อมด้วยจะสอบเทียบบ่อยเพียงใดพอจะกล่าวโดยรวมได้ว่า การสอบเทียบวัสดุอุปกรณ์วัดจะต้องทำเวลาใดก็ตามที่ผลการวัดของเครื่องมือวัดนั้นเปรียบเปรยต่อคุณลักษณะของข่าวสารดังนั้น เครื่องมือวัดใดที่ไม่มีผลพวงต่อคุณลักษณะของข่าวก็ไม่จำเป็นต้องสอบเทียบ การระบุว่าเครื่องมือวัดใดต้องสอบเทียบบ้างคงจะใช้ข้อสันนิษฐานดังต่อไปนี้ ให้ตั้งคำถามว่าหากเครื่องมือวัดที่ใช้ในการตรวจหาอ่านค่าผิดไปจากข้อบังคับที่กำหนดไว้ จะได้รับผลพวงที่เสียหายต่อคุณลักษณะของข้อมูลหรือไม่ หากพบว่าการวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับค่าการอ่านของวัสดุวัดเป็นสำคัญก็แสดงว่ามาตรวัดนั้น ต้องดำเนินการสอบเทียบด้วยกันอีกกรณีหนึ่งก็คือ เมื่อใดที่ข้าราชการมีสาเหตุที่จำเป็นต้องเชื่อมั่นในค่าของเครื่องมือวัดก็ต้องสอบเทียบตัวอย่างเช่น เรื่องของความสะดวก

กิจกรรมสอบเทียบเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ค่าใช้จ่าย แต่การสอบเทียบก็มีความจำเป็นเพราะหากพินิจพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าราคาความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับข่าวสาร เมื่อใช้เครื่องมือวัดที่ไม่เป็นหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการตรวจตรา ซ้ำ อาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการสอบเทียบเครื่องมือวัด การสอบเทียบที่ทำมากเกินความจำเป็นก็อาจก่อให้เกิดการหมดไป งบประมาณขององค์กรเกินความจำเป็นเช่นเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

ชุดประจำการชนชาติของชาวญี่ปุ่น(ชุดกิโมโน)

ถ้าหากจะอ้างอิงถึงชุดประจำชาติของชาวญี่ปุ่นที่รู้จักมักคุ้นกันดีคงหนีไม่พ้นชุดกิโมโนที่รู้จักกันดีไปทั่วโลก โดยชุดประจำชาติอย่างกิโมโนหรือชุดญี่ปุ่น (WAFUKU)เป็นชุดที่เน้นย้ำการตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์แบบเส้นตรงจากผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าจึงสามารถใส่ได้กับทุกเพศทุกวัย เป็นชุดประจำชาติที่มีความสะดุดตา อย่างมากตรงที่สามารถใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนความแตกต่างของชุดกิโมโนที่ใส่ตามฤดูกาลนั้นจะอยู่ที่การเลือกใช้เนื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ส่งผลให้ชุดกิโมโนสมรรถใส่ได้สม่ำเสมอนั่นเอง

โดยชุดกิโมโนในคำพูดญี่ปุ่นนี้แปลว่า”เครื่องแต่งกาย, เครื่องแต่งกาย, เครื่องอาภรณ์” ที่มีวิวัฒนาการควบคู่มากับความเป็นมาของประเทศญี่ปุ่น และได้รับคอสะพัดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงประจุบัน ซึ่งจากความนิยมชมชอบนี้ทำให้ไม่ใช่แค่เพียงคนแก่แต่ที่แบบใส่ชุดกิโมโน สมมตแต่วัยรุ่น หรือวัยทำงานก็ยังการตั้งกฎเกณฑ์ใส่ชุดนี้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน อีกหนึ่งความน่าสนใจของชุดกิโมโน คือ สามารถใช้เป็นมรดกทำให้ตลอดแก่ลูกหลาน เนื่องจากชุดกิโมโนเป็นชุดที่มีราคาสูง มีให้เลือกเฟ้นสวมใส่ทั้งแบบผ้าปกติธรรมดา ไปจนกระทั่งชุดที่ทำจากผ้าไหมชั้นยอด

แม้กระนั้นกิโมโน จะมีชุดที่คล้ายกันอย่างชุดยูคาตะ แต่ก็มีความห่างไกลทางด้านการใช้งานกันอยู่ปานกลาง เช่นชุดกิโมโนมักจะใส่ในระเบียบแบบแผนที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นทางการยิ่งกว่า และมักทำด้วยผ้าไหม หรือผ้าที่จิตรที่ปราณีตยิ่งกว่าชุดยูกาตะที่มักทำมาจากผ้าฝ้าย มีผ้าคาดเอวหรือโอบิที่ใหญ่กว่า มีจำนวนชิ้นมากกว่า และมีราคาที่แพงกว่าชุดยูกาตะเช่นกัน

หากจะให้เทียบกันจะพบว่าชุดยูกาตะนั้น จะเสมือนชุดที่ใส่แบบลำลองและมักมีไว้ให้บริการเช่าตามแหล่งเตร็ดเตร่ต่าง ๆ เพราะมีชั้นผ้าปิดแค่เพียงชั้นเดี่ยวทำให้สวมสบายต่างกับชุดกิโมโนที่จะต้องมีอย่างน้อย 2 ชั้นขึ้นไป และชุดกิโมโนมักใส่กับรองเท้าแบบโซริหรือกีตะนั่นเอง